วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

การสร้างกล่องเลี้ยงผึ้งโพรงสำหรับมือใหม่

 การสร้างกล่องเลี้ยงผึ้งโพรงสำหรับมือใหม่ 🐝🏡

การเลี้ยงผึ้งโพรงให้ได้มาตรฐาน เริ่มต้นที่ "บ้าน" หรือ "กล่องเลี้ยง" ที่ดี ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ควรรู้ ดังนี้

1. ชนิดของไม้:

  • ไม้เนื้อแข็ง: เช่น ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้เต็ง แข็งแรง ทนทาน แต่มีน้ำหนักมาก ราคาสูง
  • ไม้เนื้ออ่อน: เช่น ไม้สน น้ำเบา ราคาถูก แต่ความทนทานน้อยกว่า
  • ไม้อัด: ราคาถูก น้ำเบา แต่ความทนทานน้อย ควรเลือกชนิดทนน้ำ ทนแดด
2. ขนาดของกล่อง:
  • ขนาดมาตรฐาน: (หน่วยเป็นเซนติเมตร) ความกว้าง: 30 ซม. ความยาว: 45 ซม. ความสูง: 25 ซม. (อาจปรับได้ตามความเหมาะสมของสายพันธุ์ผึ้ง)
  • จำนวนชั้น: เริ่มต้น 2 ชั้น ชั้นล่าง: สำหรับผึ้งทำรัง ชั้นบน: สำหรับเก็บน้ำผึ้ง
3. องค์ประกอบของกล่อง:
  • พื้นกล่อง: ทำจากไม้แผ่นเรียบ ยื่นออกมาด้านหน้า 2-3 ซม. เป็นฐานสำหรับผึ้งลงจอด
  • ฝาครอบ: ทำจากไม้ มีรูระบายอากาศ ปิดมิดชิด กันแดด กันฝน
  • คอน: ทำจากไม้ มีขนาดพอดีกับความกว้างของกล่อง เจาะรูร้อยลวด ติดแผ่นรังเทียม
  • ช่องเข้า-ออก: ขนาด กว้าง 1 ซม. สูง 10 ซม. ติดตั้งด้านหน้าของกล่อง ควบคุมขนาดด้วยแผ่นไม้ปิด-เปิดได้
  • ขาตั้ง: ยกสูงจากพื้น 20-30 ซม. เพื่อป้องกันศัตรูพืช และความชื้น
4. การประกอบกล่อง:
  • ประกอบด้วยตะปูเกลียว: แข็งแรง ทนทาน
  • ยาแนวรอยต่อ: ป้องกันน้ำ
  • ทาสีภายนอก: สีอ่อน เช่น สีขาว สีฟ้า ช่วยสะท้อนแสงแดด

5. เคล็ดลับเพิ่มเติม:
  • ศึกษาสายพันธุ์ผึ้งโพรง: เพื่อเลือกขนาดกล่องให้เหมาะสม
  • เลือกทำเลตั้งกล่อง: ที่ร่มรื่น มีแหล่งอาหาร ใกล้แหล่งน้ำสะอาด
  • ดูแลรักษากล่อง: ทำความสะอาด ตรวจเช็คสภาพเป็นประจำ
  • ศึกษาเทคนิคการเลี้ยงผึ้ง: จากผู้เชี่ยวชาญ หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
การสร้างกล่องเลี้ยงผึ้งโพรงเอง ช่วยประหยัดต้นทุน แต่ต้องอาศัยความรู้ ความละเอียดรอบคอบ หากไม่มั่นใจสามารถซื้อกล่องสำเร็จรูปได้
เริ่มต้นเลี้ยงผึ้งโพรงด้วยความรู้ที่ถูกต้อง จะนำพาความสำเร็จมาสู่คุณอย่างแน่นอน!
.
.

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2567

สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อออกแบบกล่องเลี้ยงผึ้งโพรง

 สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อออกแบบกล่องเลี้ยงผึ้งโพรง:

1. ขนาดและรูปทรง:
ขนาด: ควรมีขนาดใหญ่พอที่ผึ้งจะสร้างรังได้อย่างสบาย แต่ไม่ใหญ่เกินไปจนควบคุมดูแลยาก ขนาดที่นิยมคือ 10-20 ลิตร
รูปทรง: สามารถเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือทรงกระบอกได้ รูปทรงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของอากาศภายในกล่อง
.
2. วัสดุ:
ไม้: เป็นวัสดุที่นิยม เนื่องจากมีความทนทานและเป็นฉนวนความร้อน ไม้ที่เหมาะสม เช่น ไม้สน ไม้ซีดาร์
วัสดุอื่นๆ: เช่น โฟม พลาสติก แต่ต้องมั่นใจว่าปลอดภัยต่อผึ้งและไม่เป็นพิษ
.
3. องค์ประกอบที่สำคัญ:
ช่องเข้า-ออก: ควรมีขนาดเล็กและสามารถปิดได้ เพื่อป้องกันศัตรูพืช
ฝาเปิด-ปิด: ง่ายต่อการตรวจสอบรังและเก็บเกี่ยวน้ำผึ้ง
ฐานรอง: สำหรับรองรับรังผึ้ง
โครงสร้างภายใน: อาจมีการติดตั้งแผ่นไม้ หรือวัสดุอื่นๆ เพื่อให้ผึ้งเกาะสร้างรังได้ง่ายขึ้น
.
4. การระบายอากาศ:
กล่องควรมีรูระบายอากาศที่เพียงพอ เพื่อป้องกันความร้อนสะสมภายใน
รูระบายอากาศควรมีขนาดเล็กพอที่จะป้องกันศัตรูพืชได้
.
5. ความทนทานและการบำรุงรักษา:
วัสดุและการออกแบบควรมีความทนทานต่อสภาพอากาศ
ควรออกแบบให้ทำความสะอาดและบำรุงรักษาง่าย
.
ตัวอย่างแบบรังผึ้งโพรง:
.
รังผึ้งโพรงแบบ Top-Bar: เป็นแบบที่เรียบง่ายและได้รับความนิยม
รังผึ้งโพรงแบบ Warre: เป็นแบบที่เลียนแบบรังผึ้งในธรรมชาติ
รังผึ้งโพรงแบบ Flow Hive: เป็นแบบที่ทันสมัย ช่วยให้เก็บเกี่ยวน้ำผึ้งได้ง่าย
.
คำแนะนำเพิ่มเติม:
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงผึ้งโพรงและชนิดของผึ้งที่คุณต้องการเลี้ยง
ปรึกษากับผู้เลี้ยงผึ้งที่มีประสบการณ์
เลือกแบบรังผึ้งโพรงที่เหมาะสมกับความต้องการและทรัพยากรของคุณ
.
หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือทำ

การล่อผึ้งโพรงจากธรรมชาติ

 การล่อผึ้งโพรงจากธรรมชาติมาเลี้ยงในกล่องเป็นเรื่องที่ต้องใช้เทคนิคและความอดทน ผึ้งโพรงมีพฤติกรรมต่างจากผึ้งเลี้ยงทั่วไป

.
ดังนั้นการบังคับให้เข้าไปอยู่ในกล่องที่เราเตรียมไว้จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ลองดูเทคนิคต่างๆ เหล่านี้ครับ
.
1. การเตรียมกล่องล่อผึ้ง
-เลือกกล่องที่เหมาะสม: ควรเป็นกล่องไม้ที่มีขนาดประมาณ 10-20 ลิตร มีรูเข้าออกขนาดเล็กเพียง 1 รู และสามารถกันน้ำได้ดี
-ทำความสะอาด: ทำความสะอาดกล่องให้สะอาด ปราศจากกลิ่นแปลกปลอม อาจรมควันด้วยขี้ผึ้ง หรือสมุนไพรที่ผึ้งชอบ
-ใส่รวงผึ้งเก่า: หารวงผึ้งเก่า หรือขี้ผึ้งที่ใช้ล่อผึ้งโดยเฉพาะ มาใส่ไว้ในกล่อง ประมาณ 2-3 แผ่น
-ใช้น้ำยาล่อผึ้ง: หาน้ำยาสำหรับล่อผึ้งมาทาบริเวณทางเข้า หรือภายในกล่อง
.
2. การหาตำแหน่งวางกล่อง
-บริเวณที่มีผึ้งโพรงชุกชุม: สถานที่ที่มีต้นไม้ใหญ่ ซอกหิน โพรงดิน ที่มีผึ้งโพรงอาศัยอยู่
-ร่มรื่นและเงียบสงบ: ควรเป็นที่ร่มรื่น ไม่โดนแดดจัด และไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน
-ใกล้แหล่งอาหาร: ใกล้แหล่งน้ำ แหล่งอาหารของผึ้ง เช่น ต้นไม้ดอกไม้
.
3. เทคนิคเพิ่มเติม
-ติดตั้งรังล่อ: สร้างรังล่อแบบง่ายๆ จากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ กาบมะพร้าว วางไว้ใกล้ๆ กล่อง
.
-ย้ายรังผึ้งโพรง: หากเจอรังผึ้งโพรงขนาดเล็ก สามารถตัดย้ายส่วนของรัง มาใส่ไว้ในกล่องล่อได้
.
-ความอดทนและการสังเกต: การล่อผึ้งโพรงต้องใช้เวลา หมั่นสังเกตว่ามีผึ้งเข้ามาสำรวจกล่องหรือไม่ และปรับเปลี่ยนวิธีการตามความเหมาะสม
.
ข้อควรระวัง:
การใช้สารเคมี: ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือยาฆ่าแมลงบริเวณที่วางกล่อง
ความปลอดภัย: ควรสวมใส่ชุดป้องกันผึ้งที่เหมาะสมทุกครั้งที่เข้าใกล้กล่องล่อ
หมายเหตุ: การล่อผึ้งโพรงมีโอกาสสำเร็จไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

ะเดือนที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งกล่องล่อผึ้ง

 ช่วงเวลาและเดือนที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งกล่องล่อผึ้งในประเทศไทยคือ:

ช่วงต้นฤดูร้อน (มีนาคม - พฤษภาคม):
.
เป็นช่วงที่ดอกไม้บานสะพรั่ง มีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ ผึ้งมีโอกาสพบเห็นกล่องล่อและเข้ามาสร้างรังมากที่สุด
.
อากาศอบอุ่น แดดจัด ช่วยในการควบคุมความชื้นภายในกล่อง
ผึ้งมีเวลาในการสะสมอาหารและขยายพันธุ์ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน
.
ช่วงปลายฤดูฝน (กันยายน - ตุลาคม):
ถือเป็นช่วงที่พอใช้ได้ แม้จะมีดอกไม้น้อยกว่าฤดูร้อน แต่ก็ยังมีพืชบางชนิดออกดอก
ผึ้งอาจหาแหล่งที่อยู่ใหม่หลังจากฝนตกหนัก
มีเวลาเตรียมรังก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว
.
ข้อควรเลี่ยง:
ฤดูฝน (มิถุนายน - สิงหาคม): ฝนตกชุก ทำให้ผึ้งออกหาอาหารได้น้อยลง และความชื้นอาจส่งผลต่อรังผึ้ง
.
ฤดูหนาว (พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์): อากาศหนาวเย็น ผึ้งจะไม่ค่อยออกหาอาหารและไม่สร้างรังใหม่
.
ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณา:
.
ชนิดของผึ้ง: ผึ้งแต่ละชนิดมีพฤติกรรมและช่วงเวลาสร้างรังที่แตกต่างกัน ควรศึกษาข้อมูลของผึ้งในท้องถิ่น
สภาพอากาศ: ตรวจสอบสภาพอากาศในแต่ละปี อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง
แหล่งอาหาร: เลือกสถานที่ตั้งกล่องล่อที่มีแหล่งอาหารของผึ้งอยู่ใกล้เคียง
.
หมายเหตุ:
ข้อมูลนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษากับผู้เลี้ยงผึ้งในพื้นที่
การเลี้ยงผึ้งให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงประสบการณ์ การดูแลเอาใจใส่

การใช้สารล่อผึ้ง อย่างถูกต้องและปลอดภัย

 การใช้สารล่อผึ้ง อย่างถูกต้องและปลอดภัย มีดังนี้:

.
1. เลือกสารล่อผึ้งที่เหมาะสม:
.
-ชนิดของผึ้ง: สารล่อผึ้งแต่ละชนิดออกแบบมาเพื่อดึงดูดผึ้งเฉพาะชนิด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสารล่อที่เลือกเหมาะสมกับชนิดของผึ้งที่ต้องการ
.
-รูปแบบของสารล่อ: สารล่อมีหลายรูปแบบ เช่น แผ่นชุบน้ำยา แคปซูล หรือแบบน้ำยา เลือกใช้ตามความสะดวกและคำแนะนำบนผลิตภัณฑ์
.
-แหล่งที่มา: เลือกซื้อสารล่อผึ้งจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย
.
2. ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม:
การใช้สารล่อมากเกินไป อาจไม่ได้ผลดีขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อผึ้งได้
ปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ และปริมาณที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด
.
3. วิธีการใช้:
-ติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม: โดยทั่วไปจะติดตั้งบริเวณทางเข้าของรัง หรือภายในกล่องล่อ ตรวจสอบคำแนะนำบนผลิตภัณฑ์
-เปลี่ยนสารล่อตามกำหนด: สารล่อผึ้งมีอายุการใช้งานจำกัด ควรเปลี่ยนใหม่ตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
-หลีกเลี่ยงการปนเปื้อน: อย่าให้สารล่อผึ้งปนเปื้อนกับสารเคมีอื่นๆ เช่น ยาฆ่าแมลง หรือสารทำความสะอาด
.
4. ข้อควรระวัง:
-สวมถุงมือ: ควรสวมถุงมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสสารล่อผึ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน
-ล้างมือให้สะอาด: ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หลังจากสัมผัสสารล่อผึ้ง
เก็บให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง: เก็บสารล่อผึ้งไว้ในที่ปลอดภัย พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
-
-อ่านฉลากคำเตือน: อ่านฉลากคำเตือนและข้อควรระวังบนผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนการใช้งาน
.
หมายเหตุ: การใช้สารล่อผึ้งเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ช่วยดึงดูดผึ้ง การเตรียมกล่องล่อที่เหมาะสม และการเลือกสถานที่ตั้งกล่องล่อยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ

วางกล่องล่อผึ้งแล้วผึ้งไม่เข้ามาเลย

 ถ้าคุณวางกล่องล่อผึ้งแล้วผึ้งไม่เข้ามาเลย หรือเข้ามาสำรวจแล้วไม่ยอมสร้างรัง อย่าเพิ่งท้อใจครับ ลองตรวจสอบและปรับปรุงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดูก่อน

.
1. ตรวจสอบกล่องล่อ:
-กลิ่น: ผึ้งไวต่อกลิ่นมาก กล่องอาจมีกลิ่นแปลกปลอมที่ไม่พึงประสงค์ ลองทำความสะอาดด้วยน้ำร้อน และตากแดดให้แห้งสนิท
.
ขนาดและรูปทรง: กล่องอาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่เกินไปสำหรับผึ้งในพื้นที่ ลองปรับเปลี่ยนขนาด หรือรูปทรงดูครับ
.
ทางเข้า-ออก: ตรวจสอบว่าทางเข้า-ออกมีขนาดเล็กพอที่จะป้องกันศัตรู แต่ไม่เล็กเกินไปจนผึ้งเข้าออกยาก
.
2. ย้ายตำแหน่งกล่องล่อ:
แสงแดด: กล่องอาจได้รับแสงแดดจัดเกินไป ลองย้ายไปอยู่ในที่ร่มรื่น ใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือบริเวณที่แดดส่องถึงแค่บางส่วนของวัน
.
ทิศทางลม: ลมแรงอาจรบกวนผึ้งได้ ลองย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ลมพัดผ่านน้อย
.
แหล่งน้ำและอาหาร: กล่องล่อควรตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำสะอาด และแหล่งอาหารของผึ้ง เช่น ต้นไม้ดอกไม้ พืชผลทางการเกษตร
.
3. ปรับปรุงสิ่งดึงดูด:
รวงผึ้งเก่า: เพิ่มปริมาณรวงผึ้งเก่า หรือขี้ผึ้งบริสุทธิ์ เพื่อสร้างกลิ่นที่ดึงดูดผึ้งมากขึ้น
.
สารล่อผึ้ง: ทดลองใช้สารล่อผึ้ง (pheromone ) โดยเลือกชนิดที่เหมาะสมกับผึ้งในพื้นที่
.
น้ำหวานล่อ: ผสมน้ำหวานเข้มข้น 1:1 กับน้ำสะอาด ใส่ภาชนะเล็กๆ วางไว้ใกล้ๆ กล่องล่อ แต่อย่าวางใกล้เกินไป เพื่อไม่ให้มดมาตอม
.
4. ความอดทนและการสังเกต:
ผึ้งอาจใช้เวลาในการสำรวจและตัดสินใจเข้ามาสร้างรัง ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมของผึ้ง และปรับเปลี่ยนวิธีการตามความเหมาะสม
.
อย่าท้อแท้ ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอวิธีที่เหมาะสมที่สุด

กล่องเลี้ยงผึ้งที่ได้รับความนิยมและเหมาะกับการเลี้ยงผึ้งโพรง

 ในประเทศไทย มีกล่องเลี้ยงผึ้งที่ได้รับความนิยมและเหมาะกับการเลี้ยงผึ้งโพรงอยู่ 2 แบบหลักๆ คือ:

.
1. กล่องเลี้ยงผึ้งโพรงแบบ Top-Bar Hive:
ลักษณะ: เป็นกล่องไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีลักษณะเปิดด้านบน โดยมีแผ่นไม้เรียงเป็นแถววางปิดไว้ ผึ้งจะสร้างรวงผึ้งห้อยลงมาจากแผ่นไม้เหล่านี้
.
ข้อดี:
เลียนแบบรังผึ้งในธรรมชาติ ผึ้งสร้างรังได้อย่างอิสระ
ตรวจสอบรังและเก็บเกี่ยวน้ำผึ้งได้ง่าย โดยไม่รบกวนรังมากนัก
ราคาไม่แพง สามารถประดิษฐ์เองได้
.
ข้อจำกัด:
รวงผึ้งที่สร้างอาจไม่แข็งแรงเท่าแบบอื่น ต้องระมัดระวังในการเคลื่อนย้าย
ผลิตน้ำผึ้งได้น้อยกว่าแบบ Langstroth Hive
.
2. กล่องเลี้ยงผึ้งโพรงแบบ Warre Hive:
ลักษณะ: เป็นกล่องไม้รูปทรงสี่เหลี่ยม ซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายกับโพรงไม้ตามธรรมชาติ มีช่องว่างด้านบนสำหรับให้ผึ้งเข้าออก
.
ข้อดี:
เลียนแบบรังผึ้งในธรรมชาติ ช่วยให้ผึ้งควบคุมอุณหภูมิและความชื้นภายในรังได้ดี
ไม่รบกวนผึ้งมากนัก เนื่องจากไม่ต้องตรวจสอบรังบ่อย
ราคาไม่แพง สามารถประดิษฐ์เองได้
.
ข้อจำกัด:
ตรวจสอบรังและเก็บเกี่ยวน้ำผึ้งได้ยากกว่าแบบอื่น
ผลิตน้ำผึ้งได้น้อยกว่าแบบ Langstroth Hive
.
.--
การเลือกกล่องเลี้ยงผึ้งแบบไหนขึ้นอยู่กับ:
-ความสะดวกในการดูแล: ถ้าต้องการตรวจสอบรังบ่อยๆ เลือกแบบ Top-Bar Hive
-ปริมาณน้ำผึ้ง: ถ้าต้องการเก็บน้ำผึ้งปริมาณมาก แบบ Langstroth Hive อาจเหมาะสมกว่า
-งบประมาณ: แบบ Top-Bar Hive และ Warre Hive ราคาไม่แพง สามารถประดิษฐ์เองได้
.
หมายเหตุ: แบบ Langstroth Hive เป็นแบบที่นิยมใช้เลี้ยงผึ้งพันธุ์ เพื่อการค้า แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้เลี้ยงผึ้งโพรงได้

การนำยางรถยนต์เก่ามาทำบ้านเลี้ยงผึ้ง มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

 การนำยางรถยนต์เก่ามาทำบ้านเลี้ยงผึ้ง มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ

.
ข้อดี:
-ราคาถูกและหาได้ง่าย: ยางรถยนต์เก่าหาได้ทั่วไป อาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก
-ทนทาน: ยางรถยนต์มีความทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่ผุพังง่าย
-กันน้ำ: คุณสมบัติการกันน้ำได้ดี ช่วยป้องกันรังผึ้งจากความชื้น
-ขึ้นรูปง่าย: สามารถตัดแต่ง ขึ้นรูป และปรับแต่งได้ง่าย
ข้อเสีย:
.
-สารเคมีตกค้าง: ยางรถยนต์อาจมีสารเคมีตกค้าง เช่น โลหะหนัก หรือสารเคมีอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อผึ้งและน้ำผึ้งได้
-ควบคุมอุณหภูมิยาก: ยางรถยนต์ดูดความร้อนได้ดี อาจทำให้ภายในรังร้อนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
-การระบายอากาศ: ยางรถยนต์ไม่ค่อยระบายอากาศ อาจทำให้ภายในรังอับชื้น ส่งผลต่อสุขภาพของผึ้ง
-การตรวจสอบรัง: การออกแบบรังจากยางรถยนต์ อาจทำให้ตรวจสอบรังและเก็บเกี่ยวนำผึ้งได้ยาก
.
ข้อควรระวัง:
.
หากต้องการนำยางรถยนต์มาทำบ้านเลี้ยงผึ้ง ควรทำความสะอาดอย่างละเอียด โดยล้างด้วยน้ำสบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อ และตากแดดให้แห้งสนิท เพื่อลดสารเคมีตกค้าง
.
ควรออกแบบรังให้มีช่องระบายอากาศที่เพียงพอ และเลือกตำแหน่งวางรังที่ร่มรื่น
.
อาจไม่เหมาะกับการเลี้ยงผึ้งในระยะยาว เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น
.
สรุป:
แม้ยางรถยนต์จะมีข้อดีในเรื่องความทนทาน ราคาถูก แต่ก็มีข้อเสียที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของผึ้งและคุณภาพน้ำผึ้งได้
.
แนะนำ:
.
เลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับการเลี้ยงผึ้งมากกว่า เช่น ไม้ ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติ ปลอดภัย ระบายอากาศได้ดี
ศึกษาข้อมูลและวิธีการเลี้ยงผึ้งที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้น้ำผึ้งที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค
.

ศัตรูตามธรรมชาติของผึ้งโพรง

 ผึ้งโพรงก็เหมือนผึ้งชนิดอื่นๆ ที่มีศัตรูตามธรรมชาติ คอยคุกคามรังและหวังขโมยน้ำหวานที่พวกมันหวงแหน การรู้จักศัตรูของผึ้งโพรง รวมถึงวิธีป้องกันและแก้ไข จะช่วยให้คุณปกป้องรังผึ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.
1. มด:
ภัยร้ายใกล้ตัว: มดเป็นศัตรูตัวฉกาจที่พบได้บ่อย พวกมันเข้าโจมตีรัง กินน้ำผึ้ง ตัวอ่อน และรบกวนการทำงานของผึ้ง
.
การป้องกัน:
ทำความสะอาดบริเวณรอบๆ รังผึ้งให้สะอาดอยู่เสมอ
กำจัดแหล่งอาหารของมด เช่นเศษอาหาร น้ำหวาน
ใช้ขาตั้งรังที่แช่น้ำ หรือทาจาระบีรอบๆ เพื่อป้องกันมดไต่ขึ้นรัง
.
การแก้ไข:
หากพบมดจำนวนไม่มาก สามารถใช้แปรงปัดออก หรือใช้น้ำฉีดไล่
หากมดรุกรานรังอย่างหนัก อาจต้องย้ายรังไปยังตำแหน่งใหม่
.
2. ตัวต่อ แตน:
นักล่าผู้หิวโหย: ตัวต่อและแตน เป็นนักล่าที่จับผึ้งกินเป็นอาหาร พวกมันยังอาจบุกรัง เพื่อขโมยน้ำผึ้งและตัวอ่อน
.
การป้องกัน:
ปิดช่องทางเข้า-ออกของรังให้มีขนาดเล็ก ให้ผึ้งเฝ้ารังได้สะดวก
ทำกับดักตัวต่อและแตน โดยใช้ขวดน้ำ ใส่น้ำหวาน หรือเนื้อสัตว์
.
การแก้ไข:
ใช้ไม้ตี หรือตาข่ายจับตัวต่อ แตน ที่บินอยู่บริเวณรัง
.
3. ไร:
ภัยเงียบทำลายล้าง: ไร โดยเฉพาะไรวารัว เป็นปรสิตที่ดูดเลือดผึ้ง ทำให้ผึ้งอ่อนแอ ติดโรค และอาจถึงตายได้
.
การป้องกัน:
รักษาความสะอาดภายในรัง
เสริมสร้างความแข็งแรงให้ผึ้ง ด้วยการให้อาหารเสริม
.
การแก้ไข:
ใช้สมุนไพร เช่น ใบสะเดา ในการกำจัดไร
ปรึกษานักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการใช้สารเคมีที่เหมาะสม
.
4. สัตว์อื่นๆ:
ผู้บุกรุกที่ไม่คาดคิด: นก หนู ตุ๊กแก จิ้งจก หรือแม้แต่มนุษย์
.
การป้องกัน:
เลือกสถานที่ตั้งรังที่ปลอดภัย
สร้างรั้ว หรือตาข่าย รอบๆ บริเวณเลี้ยงผึ้ง
.
คำแนะนำ:
หมั่นสังเกตความผิดปกติของรังผึ้ง เช่น ผึ้งลดลง มีแมลงอื่นๆ เข้าออกรัง
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงผึ้งโพรง และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง บริเวณใกล้เคียงรังผึ้ง
การดูแลเอาใจใส่ และหมั่นสังเกต จะช่วยให้คุณป้องกันและแก้ไขปัญหาศัตรูผึ้งได้อย่างทันท่วงที และทำให้ผึ้งโพรงของคุณแข็งแรง ผลิตน้ำผึ้งได้อย่างเต็มที่ครับ

ปัจจัยหลักในการเลือกทำเล

 ปัจจัยหลักในการเลือกทำเล:

แหล่งอาหาร:
ใกล้แหล่งน้ำหวานและเกสรดอกไม้: ควรมีต้นไม้ดอกไม้ พืชผลทางการเกษตร ที่ผึ้งชอบอยู่บริเวณใกล้เคียง ในรัศมีไม่เกิน 3 กิโลเมตร
แหล่งน้ำสะอาด: ผึ้งต้องการน้ำในการดำรงชีวิต ควรมีแหล่งน้ำสะอาด เช่น ลำธาร บ่อน้ำ อยู่ไม่ไกลจากรัง
ความปลอดภัย:
สงบ ไม่พลุกพล่าน: ควรเป็นที่เงียบสงบ ห่างจากแหล่งชุมชน โรงงาน ถนน ที่คนพลุกพล่าน
ปลอดภัยจากศัตรู: ควรอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยจากสัตว์ต่างๆ เช่น มด ตัวต่อ นก หนู และลมแรง
.
สภาพแวดล้อม:
ร่มเงา ไม่ร้อนเกินไป: ควรเป็นที่ร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา หลีกเลี่ยงบริเวณที่แดดส่องถึงตลอดวัน
ระบายอากาศได้ดี: ควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่แออัด
.
ปัจจัยเพิ่มเติม:
-ทิศทาง: หันหน้ารังไปทางทิศตะวันออก หรือทิศใต้ เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้า
-ระดับความสูง: ยกพื้นรังให้สูงจากพื้นดินประมาณ 50 - 100 เซนติเมตร เพื่อป้องกันความชื้น และศัตรูบางชนิด
-ความลาดเอียง: ควรตั้งรังในพื้นที่ที่ระบายน้ำได้ดี ไม่ท่วมขัง
.
สถานที่ที่เหมาะสม:
สวนผลไม้ สวนดอกไม้
ไร่นา พื้นที่เกษตร
บริเวณใกล้ป่า
บ้านที่มีพื้นที่สีเขียว
ข้อควรหลีกเลี่ยง:
บริเวณที่มีการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง
พื้นที่ที่มีมลพิษ ควัน ฝุ่นละออง
บริเวณที่มีเสียงดัง

คู่มือเลี้ยงผึ้งโพรงฉบับสมบูรณ์ : สำหรับมือใหม่

คู่มือเลี้ยงผึ้งโพรงฉบับสมบูรณ์ : สำหรับมือใหม่ หวานใจ ปลอดภัย
.
คู่มือนี้รวบรวมทุกขั้นตอนการเลี้ยงผึ้งโพรง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต เหมาะสำหรับมือใหม่ที่สนใจอยากเริ่มต้นเลี้ยงผึ้งโพรงอย่างถูกวิธี ปลอดภัย และยั่งยืน
.
บทที่ 1: เตรียมตัวก่อนเป็นชาวสวนผึ้ง
เรียนรู้พื้นฐาน: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผึ้งโพรง เช่น พันธุ์ผึ้ง นิสัย วงจรชีวิต การหาอาหาร และความสำคัญต่อระบบนิเวศ
หาข้อมูลเพิ่มเติม:
เข้าร่วมกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้ง
ศึกษาจากฟาร์มเลี้ยงผึ้ง
ปรึกษานักวิชาการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เตรียมอุปกรณ์:
กล่องเลี้ยงผึ้ง: Top-Bar Hive หรือ Warre Hive เหมาะกับมือใหม่
ชุดป้องกัน: หมวกตาข่าย เสื้อแขนยาว ถุงมือ
เครื่องพ่นควัน: ช่วยควบคุมผึ้ง
อุปกรณ์อื่นๆ: เหล็กงัด แปรงปัด ถังน้ำหวาน
.
บทที่ 2: เลือกทำเลทอง สร้างบ้านหลังน้อยให้ผึ้ง
.
แหล่งอาหาร: ใกล้แหล่งน้ำหวาน เกสรดอกไม้ และน้ำสะอาด ในรัศมี 3 กิโลเมตร
ความปลอดภัย: สงบ ไม่พลุกพล่าน ปลอดภัยจากศัตรู และสารเคมี
สภาพแวดล้อม: ร่มรื่น ระบายอากาศได้ดี ไม่ร้อนหรือชื้นเกินไป
การจัดวาง:
หันหน้ารังไปทางทิศตะวันออก หรือทิศใต้
ยกพื้นรังสูงจากพื้นดิน 50 - 100 ซม.
เลือกพื้นที่ระบายน้ำดี
.
บทที่ 3:
.
เชื้อเชิญผึ้งน้อย เข้าบ้านหลังใหม่
เตรียมกล่องล่อ:
ทำความสะอาดกล่องให้สะอาด ปราศจากกลิ่น
ใส่รวงผึ้งเก่า หรือขี้ผึ้งบริสุทธิ์ เพื่อสร้างกลิ่นล่อ
เลือกช่วงเวลา: ต้นฤดูร้อน (มีนาคม - พฤษภาคม) หรือปลายฤดูฝน (กันยายน - ตุลาคม)
วางกล่องล่อ: ในตำแหน่งที่เหมาะสม ตามที่กล่าวไปในบทที่ 2
สังเกตและรอคอย: ผึ้งอาจใช้เวลาในการสำรวจ และตัดสินใจเข้ามาสร้างรัง
.
บทที่ 4:
.
ดูแลเอาใจใส่ ดุจดั่งครอบครัว
การตรวจสอบรัง: ทำอย่างระมัดระวัง โดยสวมชุดป้องกัน และใช้เครื่องพ่นควัน
ให้อาหารเสริม: ในช่วงที่ดอกไม้ขาดแคลน ผสมน้ำตาลกับน้ำ ในอัตราส่วน 1:1
ควบคุมศัตรู: มด ตัวต่อ ไร เป็นต้น
ดูแลสุขภาพผึ้ง: สังเกตความผิดปกติ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากพบโรคระบาด
.
บทที่ 5:
.
เก็บเกี่ยวน้ำผึ้ง หวานหอม จากธรรมชาติ
เลือกช่วงเวลา: เก็บเกี่ยวในช่วงที่น้ำผึ้งสุก และมีปริมาณมากพอ
เตรียมอุปกรณ์: ถังน้ำผึ้ง มีด ตะแกรงกรอง
วิธีการเก็บเกี่ยว: ตัดรวงผึ้งที่น้ำผึ้งสุกแล้ว โดยเหลือรวงผึ้งไว้บางส่วน เพื่อให้ผึ้งสร้างรังใหม่
การกรองน้ำผึ้ง: กรองน้ำผึ้งผ่านตะแกรง เพื่อแยกสิ่งสกปรกออก
บรรจุภัณฑ์: บรรจุน้ำผึ้งในภาชนะที่สะอาด ปิดผนึกให้สนิท
บทส่งท้าย: เลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน คืนกำไรสู่ธรรมชาติ
เลี้ยงผึ้งอย่างถูกวิธี ไม่ใช้สารเคมี
ปลูกพืชอาหารผึ้ง
อนุรักษ์ผึ้ง และสิ่งแวดล้อม
.
คำเตือน:
ผึ้งโพรงมีเหล็กไช ควรระมัดระวังในการสัมผัส
หากถูกผึ้งต่อย ให้รีบเอาเหล็กไชออก ประคบเย็น
หากมีอาการแพ้รุนแรง รีบไปพบแพทย์

การเลี้ยงผึ้งโพรง ไม่เพียงแต่ได้น้ำผึ้ง แต่ยังช่วยอนุรักษ์ผึ้ง ซึ่งเป็นแมลงผสมเกสรที่สำคัญ หวังว่าคู่มือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน และขอให้มีความสุขกับการเลี้ยงผึ้งครับ! 

การสกัดน้ำผึ้งแบบใช้ความร้อน (Heat Extraction)

 การสกัดน้ำผึ้งแบบใช้ความร้อน (Heat Extraction) ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยสกัดน้ำผึ้งได้รวดเร็ว และ มีประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่วิธีที่แนะนำสำหรับผู้เลี้ยงผึ้งรายย่อย หรือ ผู้ที่ต้องการน้ำผึ้งคุณภาพสูง

.
วิธีการทำงาน:
.
นำรวงผึ้งที่ตัดแต่งแล้ว ใส่ลงในถังสกัดที่ปิดสนิท
ปล่อยไอน้ำร้อนเข้าไปในถัง ความร้อนจะทำให้ไขผึ้งในรวงผึ้งอ่อนตัวลง
น้ำผึ้งที่อยู่ในรวงผึ้งจะละลาย และ ไหลลงสู่ก้นถัง ซึ่งมีก็อกสำหรับเปิดให้น้ำผึ้งไหลออกมา
.
ข้อดี:
รวดเร็ว และ ได้น้ำผึ้งปริมาณมาก
เหมาะกับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม
.
ข้อเสีย:
ทำลายคุณค่าในน้ำผึ้ง: ความร้อนสูง ทำลายเอนไซม์ และ สารอาหารบางชนิดในน้ำผึ้ง
รสชาติ และ กลิ่น เปลี่ยนไป: น้ำผึ้งที่ได้อาจมีรสชาติ และ กลิ่น ต่างจากน้ำผึ้งดิบ
ต้นทุนสูง: อุปกรณ์มีราคาแพง
.
วิธีการสกัดน้ำผึ้งที่เหมาะสมกับผู้เลี้ยงรายย่อย และ รักษาคุณค่าของน้ำผึ้ง:
การสกัดแบบเย็น (Cold Extraction): ใช้แรงเหวี่ยง หรือ มือบีบ เพื่อสกัดน้ำผึ้ง โดยไม่ผ่านความร้อน

ขนาดคอนในกล่องเลี้ยงผึ้งแบบท็อปบาร์

 สำหรับขนาดคอนในกล่องเลี้ยงผึ้งแบบท็อปบาร์นั้น ขึ้นอยู่กับความกว้างของกล่องที่ใช้เป็นหลักครับ แต่โดยทั่วไปแล้ว คอนมักจะมีขนาดดังนี้

.
ความกว้าง:
35-40 มิลลิเมตร: เป็นขนาดที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะผึ้งจะสร้างรวงผึ้งได้อย่างเป็นระเบียบ และไม่หนาจนเกินไป ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบและเก็บเกี่ยวน้ำผึ้ง
.
30-35 มิลลิเมตร: บางคนนิยมใช้ขนาดนี้เพราะเชื่อว่าจะช่วยลดการเข้าทำลายของผีเสื้อกลางคืนศัตรูผึ้ง แต่ขนาดที่แคบลงอาจทำให้ผึ้งสร้างรวงเชื่อมติดกันได้ง่ายขึ้น
.
ความยาว:
เท่ากับความกว้างของกล่อง ลบด้วย 2-3 เซนติเมตร: เช่น ถ้ากล่องกว้าง 40 เซนติเมตร คอนควรยาวประมาณ 37-38 เซนติเมตร เว้นระยะห่างไว้เล็กน้อยเพื่อให้หยิบคอนขึ้นลงได้สะดวก
.
การวางคอน:
วางตามขวาง (Perpendicular): เป็นวิธีที่นิยมมากกว่า เพราะช่วยให้ผึ้งสร้างรวงได้เป็นระเบียบ และสะดวกต่อการจัดการภายในรัง
วางตามยาว (Parallel): อาจใช้ได้ในบางกรณี แต่ผึ้งมักจะสร้างรวงติดกัน ทำให้ตรวจสอบและเก็บเกี่ยวน้ำผึ้งได้ยาก
.
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:
สายพันธุ์ของผึ้ง: ผึ้งบางสายพันธุ์อาจมีขนาดลำตัวใหญ่กว่าปกติ ควรปรับขนาดคอนให้เหมาะสม
สภาพอากาศ: ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาว ผึ้งอาจสร้างรวงหนากว่าปกติ ควรเว้นระยะห่างระหว่างคอนให้กว้างขึ้น
.
หมายเหตุ:
การเลือกขนาดคอนที่เหมาะสม จะช่วยให้ผึ้งสร้างรวงได้อย่างเป็นระเบียบ สะดวกต่อการจัดการ และช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้งได้
ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และปรึกษาผู้เลี้ยงผึ้งที่มีประสบการณ์ เพื่อปรับใช้กับบริบทของตัวเอง

หนอนผีเสื้อกลางคืน (Wax moth)

 หนอนผีเสื้อกลางคืน (Wax moth)

.
เป็นศัตรูตัวฉกาจของผึ้งโพรง รวมถึงผึ้งชนิดอื่นๆ ตัวอ่อนของมันจะกัดกินไขผึ้ง เกสร และน้ำผึ้งภายในรัง ทำให้รังผึ้งเสียหาย ผึ้งอ่อนแอ และอาจถึงขั้นรังล่มสลายได้
.
วิธีป้องกันหนอนผีเสื้อกลางคืนสำหรับการเลี้ยงผึ้งโพรง:
.
1. การจัดการรังและสภาพแวดล้อม:
รักษาความสะอาด: ทำความสะอาดเศษขี้ผึ้ง ซากผึ้ง หรือสิ่งปฏิกูลบริเวณรอบๆ รังอย่างสม่ำเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งอาหารและวางไข่ชั้นดีของผีเสื้อกลางคืน
.
ตรวจเช็ครังสม่ำเสมอ: ตรวจสอบภายในรังผึ้งอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหรือช่วงที่มีความชื้นสูง มองหาตัวเต็มวัย ตัวอ่อน รังไหม หรือร่องรอยของหนอนผีเสื้อ เช่น ใยสีขาวคล้ายใยแมงมุม
.
ควบคุมความชื้น: ผีเสื้อกลางคืนชอบวางไข่ในบริเวณที่มีความชื้นสูง ควรเลือกทำเลเลี้ยงผึ้งที่ไม่อับชื้น และระบายอากาศได้ดี
.
รักษาประชากรผึ้งให้แข็งแรง: ผึ้งที่แข็งแรงจะมีภูมิต้านทานและสามารถป้องกันรังจากศัตรูได้ดีกว่า ควรเลือกเลี้ยงผึ้งพันธุ์ที่แข็งแรง ให้อาหารเสริม และ ดูแลรังอย่างใกล้ชิด
.
2. การควบคุมทางกายภาพ:
.
กับดักแสงไฟ: ผีเสื้อกลางคืนมักเข้าหาแสงไฟ สามารถใช้กับดักแสงไฟล่อตัวเต็มวัย แล้วกำจัดทิ้ง
.
แผ่นกาว: วางแผ่นกาวดักแมลงบริเวณรอบๆ รัง เพื่อดักจับตัวเต็มวัย
ตะแกรงกรอง: ใช้ตะแกรงที่เล็กพอที่จะกันไม่ให้ผีเสื้อกลางคืนเข้าไปวางไข่ในรังได้
3. การควบคุมทางชีวภาพ:
.
เชื้อรา Bacillus thuringiensis: เป็นเชื้อราที่สามารถฆ่าตัวอ่อนของผีเสื้อกลางคืนได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อผึ้ง สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์การเกษตร
.
4. การใช้สารเคมี:
ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผึ้ง และ ปนเปื้อนในน้ำผึ้งได้
หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือกใช้สารเคมีที่ปลอดภัยต่อผึ้ง และ ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
.
ข้อควรจำ:
การป้องกันดีกว่าแก้ไข หมั่นตรวจเช็ครัง และ สภาพแวดล้อมรอบๆ รังอย่างสม่ำเสมอ
ควรใช้วิธีการควบคุมแบบผสมผสาน เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกัน และ กำจัดหนอนผีเสื้อกลางคืน จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
.............................................................
เชื้อรา Bacillus thuringiensis หรือ Bt
.
เป็นจุลินทรีย์ที่พบได้ทั่วไปในดิน ใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชอย่างปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการควบคุมหนอนผีเสื้อกลางคืนในรังผึ้ง
.
วิธีใช้เชื้อรา Bacillus thuringiensis (Bt) สำหรับควบคุมหนอนผีเสื้อกลางคืนในรังผึ้ง:
.
1. เลือกชนิด Bt ที่เหมาะสม:
มีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงต่างกัน ควรเลือกสายพันธุ์ที่ระบุชัดเจนว่าใช้สำหรับกำจัดหนอนผีเสื้อกลางคืน
ผลิตภัณฑ์ Bt มีจำหน่ายในรูปแบบต่างๆ เช่น ผง ผงละลายน้ำ สเปรย์ เลือกชนิดที่สะดวกต่อการใช้งาน
.
2. ผสม Bt ตามคำแนะนำ:
อ่านฉลากและทำตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด
ผสม Bt ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับน้ำ โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 1-2 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ลิตร
.
3. ฉีดพ่น หรือ ทา Bt ในรังผึ้ง:
ฉีดพ่น: ใช้ Bt ที่ผสมแล้วฉีดพ่นบริเวณที่คาดว่าหนอนผีเสื้อกลางคืนจะอาศัย เช่น บริเวณซอกมุม รอยแตก
ทา: ใช้แปรงทาสี ทา Bt ที่ผสมแล้วบริเวณที่ต้องการป้องกัน เช่น ขอบกล่อง ฝากล่อง
.
4. ระยะเวลาและความถี่:
ฉีดพ่น หรือ ทา Bt ซ้ำทุกๆ 7-14 วัน
หรือ ปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก
.
ข้อควรระวัง:
สวมถุงมือ และ หน้ากากอนามัย ทุกครั้ง ขณะผสม และ ฉีดพ่น Bt
ไม่ควรฉีดพ่น Bt โดนตัวผึ้ง หรือ บริเวณที่มีน้ำผึ้งโดยตรง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผึ้งได้
.
เก็บ Bt ไว้ในที่แห้ง และ เย็น ให้พ้นจากมือเด็ก และ สัตว์เลี้ยง
.
ข้อดีของการใช้ Bt:
.
ปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์เลี้ยง และ สิ่งแวดล้อม
ไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายในน้ำผึ้ง
มีประสิทธิภาพในการควบคุมหนอนผีเสื้อกลางคืน
.
ข้อจำกัดของการใช้ Bt:
.
Bt มีผลต่อเฉพาะตัวอ่อนของหนอนผีเสื้อ ไม่มีผลต่อตัวเต็มวัย
.
Bt อาจถูกชะล้างได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่ฝนตก จำเป็นต้องฉีดพ่นซ้ำ
การใช้ Bt เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการควบคุมหนอนผีเสื้อกลางคืน ควรใช้ร่วมกับวิธีการอื่นๆ เช่น การรักษาความสะอาด การควบคุมความชื้น และ การตรวจเช็ครังผึ้งเป็นประจำ

อาหารผึ้งโพรงที่เราทำได้เอง มีดังนี้

 อาหารผึ้งโพรงที่เราทำได้เอง มีดังนี้

.
1. น้ำเชื่อม:
ส่วนผสม: น้ำตาลทรายขาว 1 ส่วน : น้ำสะอาด 1 ส่วน (เช่น น้ำตาล 1 กิโลกรัม : น้ำ 1 ลิตร)
.
วิธีทำ: ต้มน้ำให้เดือด ยกลงจากเตา เติมน้ำตาลทราย คนให้ละลาย ทิ้งไว้ให้เย็นสนิทก่อนนำไปให้ผึ้งกิน
.
ข้อควรระวัง:
ใช้น้ำตาลทรายขาวเท่านั้น ห้ามใช้น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลปี๊บ หรือน้ำผึ้ง เพราะอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน
ควรต้มน้ำก่อนใช้ เพื่อฆ่าเชื้อโรค
ต้องทิ้งน้ำเชื่อมให้เย็นสนิทก่อนนำไปให้ผึ้งกิน มิฉะนั้นผึ้งอาจตายได้
.
2. อาหารผึ้งแบบแห้ง:
ส่วนผสม: น้ำตาลไอซิ่ง 1 กิโลกรัม : น้ำผึ้งแท้ ¼ ถ้วยตวง
วิธีทำ: ผสมน้ำตาลไอซิ่งกับน้ำผึ้ง นวดให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ปั้นเป็นก้อนกลม วางไว้บนฝารังผึ้ง
ข้อดี: เก็บรักษาได้นาน ไม่เน่าเสียง่าย
.
ข้อควรระวัง:
ควรใช้น้ำผึ้งแท้เท่านั้น
เก็บในภาชนะปิดสนิท ป้องกันมดและแมลงรบกวน
.
3. น้ำหวานจากผลไม้:
ส่วนผสม: ผลไม้สุก เช่น กล้วย มะละกอ มะม่วงสุก
วิธีทำ: บดผลไม้สุกให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย นำไปวางไว้ในภาชนะที่ผึ้งเข้าไปกินได้ง่าย
ข้อดี: เป็นอาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุให้ผึ้ง
.
ข้อควรระวัง:
ควรใช้ผลไม้สุกงอม
เปลี่ยนอาหารทุกวัน เพื่อป้องกันการหมักบูด
.
หมายเหตุ:
การให้อาหารผึ้งโพรง ควรให้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป เพราะอาจทำให้รังผึ้งชื้น และเกิดเชื้อราได้
ควรสังเกตพฤติกรรมของผึ้ง หากพบว่าผึ้งไม่กินอาหาร หรือมีพฤติกรรมผิดปกติ ควรหยุดให้อาหาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงผึ้ง