วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568

กล่องเลี้ยงผึ้งใ มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "Cathedral Hive" (รังผึ้งทรงคาธีดรัล)

 


กล่องเลี้ยงผึ้งในภาพนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "Cathedral Hive" (รังผึ้งทรงคาธีดรัล) ครับ

เป็นรังผึ้งประเภท Top-Bar Hive (รังผึ้งแบบคานบน) ชนิดหนึ่งที่ออกแบบโดย Corwin Bell แห่ง BackYardHive.com โดยมีแนวคิดให้รังมีรูปทรงใกล้เคียงกับโพรงไม้ตามธรรมชาติมากที่สุด เพื่อส่งเสริมสุขภาพและพฤติกรรมตามธรรมชาติของผึ้ง

สำหรับขนาดของรังและคอน (คานบน) โดยทั่วไปจะมีดังนี้ครับ:

1. ขนาดของกล่อง (Hive Body)

รัง Cathedral Hive มีลักษณะเป็นกล่องยาวแนวนอนที่มีหน้าตัดเป็นรูปหกเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมคางหมู ไม่ได้เป็นกล่องสี่เหลี่ยมซ้อนกันแบบรังมาตรฐาน (Langstroth) ขนาดที่นิยมสร้างกันตามแบบแผนของผู้คิดค้น จะมีสัดส่วนดังนี้:

  • ความกว้างด้านบน (Top Width): ประมาณ 17 นิ้ว (ประมาณ 43 ซม.)

  • ความสูงของตัวรัง (Height): ประมาณ 15 นิ้ว (ประมาณ 38 ซม.)

  • ความกว้างด้านล่าง (Bottom Width): ประมาณ 7.5 นิ้ว (ประมาณ 19 ซม.)

  • มุมของผนังด้านข้าง: ผนังด้านข้างจะเอียงทำมุม 45 องศา กับพื้นรัง ซึ่งเป็นดีไซน์สำคัญที่ช่วยให้ผึ้งสร้างรวงลงมาได้อย่างเป็นระเบียบและไม่ติดกับผนังรัง

  • ความยาวของตัวรัง (Length): ความยาวจะแปรผันได้ตามต้องการ แต่ขนาดมาตรฐานมักจะอยู่ที่ 36 - 42 นิ้ว (ประมาณ 91 - 107 ซม.)

ภาพประกอบเพื่อความเข้าใจในสัดส่วน

2. ขนาดของคอน (Top Bar / คานบน)

ในรังประเภทนี้จะไม่มี "คอน" ที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยมเหมือนรังมาตรฐาน แต่จะใช้สิ่งที่เรียกว่า "Top Bar" (คานบน) แทน ซึ่งเป็นแผ่นไม้ที่วางเรียงชิดกันอยู่ด้านบนของรัง

  • ความกว้างของคานบน (Top Bar Width): นี่คือขนาดที่ สำคัญที่สุด และต้องแม่นยำมาก โดยมาตรฐานจะอยู่ที่ 1 3/8 นิ้ว (หนึ่งนิ้วสามหุน) หรือประมาณ 35 มิลลิเมตร

    • เหตุผล: ความกว้างขนาดนี้เป็นขนาดที่อิงตาม "Bee Space" (ช่องว่างที่ผึ้งเว้นไว้เดิน) หากกว้างหรือแคบไป ผึ้งจะสร้างรวงเชื่อมติดกันผิดรูปแบบ หรือใช้ชัน (propolis) อุดจนดึงคานขึ้นมาดูไม่ได้

  • ความยาวของคานบน (Top Bar Length): ต้องยาวกว่าความกว้างด้านบนของรังเล็กน้อยเพื่อให้วางพาดบนขอบรังได้พอดี เช่น ถ้ารังด้านในกว้าง 17 นิ้ว คานบนอาจจะต้องยาว 18 นิ้ว (ประมาณ 45.7 ซม.)

  • ลักษณะพิเศษ: ด้านใต้ของคานบนมักจะเซาะร่องเป็นรูปตัว V หรือติดไม้สามเหลี่ยมเล็กๆ ตลอดแนว เพื่อเป็นแนวทาง (guide) ให้ผึ้งเริ่มต้นสร้างรวงลงมาตรงๆ กลางคาน




...................................................................................................


การเปรียบเทียบระหว่าง รัง Top-Bar ทรงสี่เหลี่ยม (ผนังตรง 90 องศา) กับ รัง Top-Bar ทรงเฉียง (ผนังเอียง 45 องศา แบบ Cathedral หรือ Kenyan) โดยมีเงื่อนไขว่าส่วนประกอบอื่นเหมือนกันทั้งหมด (คานบนขนาดเท่ากัน, ความยาวเท่ากัน) จะมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนดังนี้ครับ




คำอธิบายเพิ่มเติม

ทำไมผนังเฉียงถึงดีกว่าในการจัดการ?

เหตุผลสำคัญที่สุดอยู่ที่พฤติกรรมตามธรรมชาติของผึ้งครับ

  1. รูปทรงของรวงผึ้งธรรมชาติ: เมื่อผึ้งสร้างรวงโดยห้อยลงมาจากเพดาน (เช่น กิ่งไม้หรือเพดานโพรง) รวงที่ถูกถ่วงด้วยน้ำหนักของตัวมันเอง (น้ำผึ้ง, เกสร, ตัวอ่อน) จะมีรูปทรงโค้งตามธรรมชาติที่เรียกว่า "Catenary Curve" ซึ่งเป็นรูปทรงคล้ายๆ ตัว "U" ที่กว้างออก

  2. ผนังเฉียงเลียนแบบธรรมชาติ: ผนังที่เอียง 45 องศา จะสร้างพื้นที่ว่างด้านข้างที่สอดคล้องกับรูปทรง Catenary Curve นี้พอดี ทำให้ผึ้งไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องสร้างรวงไปเชื่อมติดกับผนัง เพราะมันมีระยะห่างที่เหมาะสมอยู่แล้ว (Bee Space)

  3. ปัญหาของผนังตรง: ในรังทรงสี่เหลี่ยม ผนังที่ตรงลงมา 90 องศาจะอยู่ใกล้กับขอบรวงผึ้งด้านล่างมากเกินไป ผึ้งจะมองว่าผนังเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่สามารถยึดเกาะได้ จึงสร้างรวงเชื่อมติดกับผนังเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ผลที่ตามมาคือเราไม่สามารถดึงรวงขึ้นมาตรงๆ ได้อีกต่อไป

สรุปและคำแนะนำ

รังทรงสี่เหลี่ยม (ผนังตรง) มีข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ชัดเจนคือ สร้างง่ายกว่าและมีปริมาตรมากกว่าเล็กน้อย แต่ข้อเสียเรื่องการที่ผึ้งสร้างรวงติดผนังนั้นเป็นปัญหาใหญ่มากในการจัดการ ทำให้การเลี้ยงผึ้งในรังแบบนี้ทำได้ยากและน่าหงุดหงิด

รังทรงเฉียง (ผนัง 45 องศา) แม้จะสร้างยากกว่าและมีปริมาตรน้อยกว่านิดหน่อย แต่ แก้ปัญหาใหญ่ที่สุดของการเลี้ยงผึ้งแบบ Top-Bar ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้การดูแลผึ้งเป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่ากันมาก

ด้วยเหตุนี้ ผู้เลี้ยงผึ้งแบบ Top-Bar ส่วนใหญ่ทั่วโลกจึงนิยมและแนะนำให้ใช้รังที่มีผนังเอียง (แบบ Kenyan หรือ Cathedral) มากกว่ารังที่มีผนังตรง (แบบ Tanzanian) ครับ ความสะดวกสบายในการจัดการที่ได้มานั้น คุ้มค่ากับความซับซ้อนในการสร้างที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอย่างแน่นอนครับ


.........................................................................................

คำถามยอดฮิต เลี้ยงในไทยได้ไหม

! การนำรังผึ้งแบบ Top-Bar (เช่น Cathedral Hive หรือ Kenyan Top-Bar Hive) มาใช้เลี้ยงในประเทศไทยนั้นเป็นความคิดที่ดีมาก เพราะมีข้อดีหลายอย่างที่เข้ากับสภาพอากาศและวิถีการเลี้ยงแบบยั่งยืน แต่ก็มีข้อควรพิจารณาและเคล็ดลับที่ต้องปรับใช้ให้เหมาะสมกับบ้านเราโดยเฉพาะครับ

นี่คือคำแนะนำเพิ่มเติมอย่างละเอียดครับ

1. พันธุ์ผึ้ง (Bee Species)

  • แนะนำที่สุด: ผึ้งพันธุ์ยุโรป (Apis mellifera)

    • เหตุผล: เป็นผึ้งที่คุ้นเคยกับการถูกเลี้ยงในหีบมากที่สุด มีนิสัยไม่ดุร้าย (เมื่อเทียบกับผึ้งพื้นเมือง), ไม่ทิ้งรังง่าย, และให้ผลผลิตน้ำผึ้งสูงกว่า คุณสามารถหาซื้อผึ้งพันธุ์พร้อมนางพญาได้จากฟาร์มผึ้งต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้การเริ่มต้นง่ายกว่ามาก

    • ข้อควรระวัง: ผึ้งพันธุ์ไม่ทนทานต่อไรและศัตรูตามธรรมชาติของไทยเท่าผึ้งโพรง จึงต้องมีการจัดการดูแลที่ดี

  • ทางเลือกสำหรับผู้มีประสบการณ์: ผึ้งโพรงไทย (Apis cerana)

    • ข้อดี: เป็นผึ้งพื้นเมืองที่ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและศัตรูในประเทศไทยได้ดีมาก ทนทานโรคและไรได้ดีกว่าผึ้งพันธุ์

    • ข้อเสีย (และเป็นข้อเสียใหญ่): มีนิสัยทิ้งรัง (Absconding) ง่ายมาก หากรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (เช่น ร้อนไป, มีศัตรูรบกวน, ขาดแคลนอาหาร, หรือแม้แต่ถูกเปิดรบกวนบ่อยๆ) ก็จะพากันอพยพหนีไปทั้งรัง นอกจากนี้ยังสร้างรังขนาดเล็กกว่าและให้น้ำผึ้งน้อยกว่า

    • คำแนะนำ: หากจะเลี้ยงผึ้งโพรงในรังแบบนี้ ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันอย่างลึกซึ้ง และต้องจัดการรังให้นิ่งและรบกวนน้อยที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์หรือศึกษาพฤติกรรมมากกว่าเน้นผลผลิต

2. ทำเลที่ตั้ง (Siting the Hive)

นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการเลี้ยงผึ้งในเขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทยครับ

  • ต้องมีร่มเงา: ห้ามวางรังกลางแดดจัดเด็ดขาด! โดยเฉพาะแดดช่วงบ่าย ความร้อนจะทำให้ขี้ผึ้งละลาย รวงผึ้งอาจถล่มลงมา และผึ้งจะเครียดจนอาจทิ้งรังได้ ควรวางไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่, ชายคาบ้าน, หรือสร้างหลังคาเล็กๆ คลุมรังไว้ ให้โดนแค่แดดอ่อนๆ ยามเช้าก็เพียงพอ

  • การระบายอากาศดี: เลือกจุดที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นสะสมในรัง ซึ่งเป็นสาเหตุของเชื้อรา แต่ไม่ควรเป็นจุดที่ลมโกรกแรงตลอดเวลา

  • ยกพื้นสูงและป้องกันมด: มดคือศัตรูตัวฉกาจที่สุด ต้องตั้งรังบนขาตั้งที่ยกสูงจากพื้น และให้ขาของแท่นตั้ง แช่อยู่ในถ้วยหรือภาชนะที่หล่อน้ำมันเครื่องเก่าหรือน้ำผสมน้ำยาล้างจานไว้ เพื่อสร้างคูน้ำกันมด นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้

  • ใกล้แหล่งน้ำ: ผึ้งต้องการน้ำเพื่อใช้ดื่มและลดอุณหภูมิในรัง ควรมีแหล่งน้ำสะอาดอยู่ไม่ไกล เช่น อ่างบัว, จานรองกระถางที่ใส่ก้อนหินไว้ให้ผึ้งเกาะ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ

3. การปรับปรุงรังและการจัดการ (Hive Modifications & Management)

  • เพิ่มการระบายอากาศ: ความชื้นในไทยสูงมาก เพื่อป้องกันเชื้อราและความอับชื้น คุณอาจต้องดัดแปลงรังเล็กน้อย เช่น

    • เจาะรูระบายอากาศเพิ่มที่ผนังด้านหน้าและหลังของรัง (บริเวณเหนือระดับคอนผึ้ง) แล้วติดทับด้วยตะแกรงลวดตาข่ายถี่ๆ เพื่อกันศัตรูเข้า

    • สำหรับผู้มีทักษะงานช่าง อาจทำ "พื้นรังแบบตะแกรง" (Screened Bottom Board) เพื่อให้ระบายอากาศจากด้านล่างได้ดีเยี่ยม

  • การจัดการศัตรูพืช: นอกจากมดแล้ว ยังต้องระวัง ตัวต่อ, แตน, และผีเสื้อกลางคืน (Wax Moth) การรักษาให้ประชากรผึ้งแข็งแรงอยู่เสมอคือการป้องกันที่ดีที่สุด และอาจต้องใช้แผ่นกั้นลดขนาดทางเข้า (Entrance Reducer) เพื่อช่วยให้ผึ้งทหารป้องกันรังได้ง่ายขึ้น

  • การจัดการตามฤดูกาล:

    • ช่วงฤดูดอกไม้บาน (Honey Flow): ตรวจสอบรังบ่อยขึ้น (อาจจะทุก 7-10 วัน) เพื่อดูว่าผึ้งเก็บน้ำผึ้งเต็มรวงหรือยัง และเตรียมเก็บน้ำผึ้ง

    • ช่วงขาดแคลนอาหาร (Dearth Period) / ฤดูฝน: อาจต้องให้อาหารเสริมเป็นน้ำเชื่อม (น้ำตาล 1 ส่วน : น้ำ 1 ส่วน) เพื่อช่วยให้ผึ้งอยู่รอด

  • การเก็บน้ำผึ้ง:

    • ข้อดีของรังแบบนี้คือคุณสามารถเก็บทีละคอนได้ โดยเลือกเก็บเฉพาะคอนน้ำผึ้งที่อยู่ด้านหลังสุดของรัง ปล่อยคอนที่มีตัวอ่อนและอาหารสำรองไว้ที่ด้านหน้า

    • วิธีการคือยกคานบนขึ้นมา ใช้มีดคมๆ ตัดแผ่นรวงผึ้งออกมา โดยเหลือขอบรวงติดกับคานบนไว้ประมาณ 1-2 ซม. เพื่อเป็นแนวให้ผึ้งสร้างรวงใหม่ได้ตรงแนวเดิม

โดยสรุป การใช้รัง Cathedral/Top-Bar ในไทยนั้น ทำได้และทำได้ดีมาก หากคุณให้ความสำคัญกับ 1. การเลือกทำเลที่มีร่มเงาและอากาศถ่ายเท, 2. การป้องกันมดอย่างจริงจัง, และ 3. การเลือกพันธุ์ผึ้งที่เหมาะสม (เริ่มต้นด้วยผึ้งพันธุ์จะง่ายที่สุด) ครับ ขอให้สนุกกับการเลี้ยงผึ้งนะครับ








วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568

กล่องเลี้ยงผึ้ง โฉมใหม่ สวย แน่น ทนทานกว่าเดิม

🌟 เปิดตัวกล่องเลี้ยงผึ้งโฉมใหม่! รุ่นพลังช้าง 🌟

สำหรับนักเลี้ยงผึ้งยุคใหม่ ที่ใส่ใจคุณภาพตั้งแต่รังแรก

มาตรฐานใหม่แห่งวงการเลี้ยงผึ้งไทย!
กล่องรุ่นใหม่ล่าสุด “พลังช้าง” ถูกออกแบบและปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ด้วยเทคโนโลยีช่างไม้มาตรฐานสูง ไม่มีรอยต่อ ช่องว่าง หรือรอยรั่วที่มดเล็กสามารถเข้าไปทำลายรังได้

ปลอดภัย ไร้โลหะ ไร้สารปนเปื้อน
ไม่ใช้สังกะสี ไม่มีโลหะใด ๆ ป้องกันการปนเปื้อนของน้ำผึ้ง
มั่นใจในความสะอาด และความบริสุทธิ์ของผลผลิต

ขนาดมาตรฐานแท้ 30x50x30 ซม.
เต็มสเปก! ไม่หลอกตา ได้ของจริงตามที่แจ้ง

แข็งแรง ทนทาน สวยงาม
ผลิตจากไม้คุณภาพสูง ด้วยช่างฝีมือประณีต เข้ามุมแนบสนิท ไม่ต่อไม้แบบลวก ๆ
เหมาะสำหรับนักเลี้ยงผึ้งมืออาชีพ และผู้เริ่มต้นที่ใส่ใจคุณภาพในระยะยาว

🆕 นี่คือกล่องเลี้ยงผึ้งในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทในการเลี้ยง
“พลังช้าง” คือคำตอบสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่มองไกลเกินแค่การเริ่มต้น

📍 สนใจติดต่อ:
สวนราชินี กำแพงเพชร
📞 080-989-8770

ราคา 850 บาท รวมส่ง โอนเงิน

ติดต่อเรา 0809898770 ส่งจากกำแพงเพชร

มารับเองแจ้งล่วงหน้า 1-2 วัน เราจะได้เก็บงาน ทำเตรียมไว้