กล่องเลี้ยงผึ้งในภาพนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "Cathedral Hive" (รังผึ้งทรงคาธีดรัล) ครับ
1. ขนาดของกล่อง (Hive Body)
ความกว้างด้านบน (Top Width): ประมาณ 17 นิ้ว (ประมาณ 43 ซม.) ความสูงของตัวรัง (Height): ประมาณ 15 นิ้ว (ประมาณ 38 ซม.) ความกว้างด้านล่าง (Bottom Width): ประมาณ 7.5 นิ้ว (ประมาณ 19 ซม.) มุมของผนังด้านข้าง: ผนังด้านข้างจะเอียงทำมุม 45 องศา กับพื้นรัง ซึ่งเป็นดีไซน์สำคัญที่ช่วยให้ผึ้งสร้างรวงลงมาได้อย่างเป็นระเบียบและไม่ติดกับผนังรัง ความยาวของตัวรัง (Length): ความยาวจะแปรผันได้ตามต้องการ แต่ขนาดมาตรฐานมักจะอยู่ที่ 36 - 42 นิ้ว (ประมาณ 91 - 107 ซม.)
2. ขนาดของคอน (Top Bar / คานบน)
ความกว้างของคานบน (Top Bar Width): นี่คือขนาดที่ สำคัญที่สุด และต้องแม่นยำมาก โดยมาตรฐานจะอยู่ที่ 1 3/8 นิ้ว (หนึ่งนิ้วสามหุน) หรือประมาณ 35 มิลลิเมตร เหตุผล: ความกว้างขนาดนี้เป็นขนาดที่อิงตาม "Bee Space" (ช่องว่างที่ผึ้งเว้นไว้เดิน) หากกว้างหรือแคบไป ผึ้งจะสร้างรวงเชื่อมติดกันผิดรูปแบบ หรือใช้ชัน (propolis) อุดจนดึงคานขึ้นมาดูไม่ได้
ความยาวของคานบน (Top Bar Length): ต้องยาวกว่าความกว้างด้านบนของรังเล็กน้อยเพื่อให้วางพาดบนขอบรังได้พอดี เช่น ถ้ารังด้านในกว้าง 17 นิ้ว คานบนอาจจะต้องยาว 18 นิ้ว (ประมาณ 45.7 ซม.) ลักษณะพิเศษ: ด้านใต้ของคานบนมักจะเซาะร่องเป็นรูปตัว V หรือติดไม้สามเหลี่ยมเล็กๆ ตลอดแนว เพื่อเป็นแนวทาง (guide) ให้ผึ้งเริ่มต้นสร้างรวงลงมาตรงๆ กลางคาน
คำอธิบายเพิ่มเติม
ทำไมผนังเฉียงถึงดีกว่าในการจัดการ?
รูปทรงของรวงผึ้งธรรมชาติ: เมื่อผึ้งสร้างรวงโดยห้อยลงมาจากเพดาน (เช่น กิ่งไม้หรือเพดานโพรง) รวงที่ถูกถ่วงด้วยน้ำหนักของตัวมันเอง (น้ำผึ้ง, เกสร, ตัวอ่อน) จะมีรูปทรงโค้งตามธรรมชาติที่เรียกว่า "Catenary Curve" ซึ่งเป็นรูปทรงคล้ายๆ ตัว "U" ที่กว้างออก ผนังเฉียงเลียนแบบธรรมชาติ: ผนังที่เอียง 45 องศา จะสร้างพื้นที่ว่างด้านข้างที่สอดคล้องกับรูปทรง Catenary Curve นี้พอดี ทำให้ผึ้งไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องสร้างรวงไปเชื่อมติดกับผนัง เพราะมันมีระยะห่างที่เหมาะสมอยู่แล้ว (Bee Space) ปัญหาของผนังตรง: ในรังทรงสี่เหลี่ยม ผนังที่ตรงลงมา 90 องศาจะอยู่ใกล้กับขอบรวงผึ้งด้านล่างมากเกินไป ผึ้งจะมองว่าผนังเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่สามารถยึดเกาะได้ จึงสร้างรวงเชื่อมติดกับผนังเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ผลที่ตามมาคือเราไม่สามารถดึงรวงขึ้นมาตรงๆ ได้อีกต่อไป
สรุปและคำแนะนำ
! การนำรังผึ้งแบบ Top-Bar (เช่น Cathedral Hive หรือ Kenyan Top-Bar Hive) มาใช้เลี้ยงในประเทศไทยนั้นเป็นความคิดที่ดีมาก เพราะมีข้อดีหลายอย่างที่เข้ากับสภาพอากาศและวิถีการเลี้ยงแบบยั่งยืน แต่ก็มีข้อควรพิจารณาและเคล็ดลับที่ต้องปรับใช้ให้เหมาะสมกับบ้านเราโดยเฉพาะครับ
1. พันธุ์ผึ้ง (Bee Species)
แนะนำที่สุด: ผึ้งพันธุ์ยุโรป (Apis mellifera) เหตุผล: เป็นผึ้งที่คุ้นเคยกับการถูกเลี้ยงในหีบมากที่สุด มีนิสัยไม่ดุร้าย (เมื่อเทียบกับผึ้งพื้นเมือง), ไม่ทิ้งรังง่าย, และให้ผลผลิตน้ำผึ้งสูงกว่า คุณสามารถหาซื้อผึ้งพันธุ์พร้อมนางพญาได้จากฟาร์มผึ้งต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้การเริ่มต้นง่ายกว่ามาก ข้อควรระวัง: ผึ้งพันธุ์ไม่ทนทานต่อไรและศัตรูตามธรรมชาติของไทยเท่าผึ้งโพรง จึงต้องมีการจัดการดูแลที่ดี
ทางเลือกสำหรับผู้มีประสบการณ์: ผึ้งโพรงไทย (Apis cerana) ข้อดี: เป็นผึ้งพื้นเมืองที่ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและศัตรูในประเทศไทยได้ดีมาก ทนทานโรคและไรได้ดีกว่าผึ้งพันธุ์ ข้อเสีย (และเป็นข้อเสียใหญ่): มีนิสัยทิ้งรัง (Absconding) ง่ายมาก หากรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (เช่น ร้อนไป, มีศัตรูรบกวน, ขาดแคลนอาหาร, หรือแม้แต่ถูกเปิดรบกวนบ่อยๆ) ก็จะพากันอพยพหนีไปทั้งรัง นอกจากนี้ยังสร้างรังขนาดเล็กกว่าและให้น้ำผึ้งน้อยกว่า คำแนะนำ: หากจะเลี้ยงผึ้งโพรงในรังแบบนี้ ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันอย่างลึกซึ้ง และต้องจัดการรังให้นิ่งและรบกวนน้อยที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์หรือศึกษาพฤติกรรมมากกว่าเน้นผลผลิต
2. ทำเลที่ตั้ง (Siting the Hive)
ต้องมีร่มเงา: ห้ามวางรังกลางแดดจัดเด็ดขาด! โดยเฉพาะแดดช่วงบ่าย ความร้อนจะทำให้ขี้ผึ้งละลาย รวงผึ้งอาจถล่มลงมา และผึ้งจะเครียดจนอาจทิ้งรังได้ ควรวางไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่, ชายคาบ้าน, หรือสร้างหลังคาเล็กๆ คลุมรังไว้ ให้โดนแค่แดดอ่อนๆ ยามเช้าก็เพียงพอ การระบายอากาศดี: เลือกจุดที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นสะสมในรัง ซึ่งเป็นสาเหตุของเชื้อรา แต่ไม่ควรเป็นจุดที่ลมโกรกแรงตลอดเวลา ยกพื้นสูงและป้องกันมด: มดคือศัตรูตัวฉกาจที่สุด ต้องตั้งรังบนขาตั้งที่ยกสูงจากพื้น และให้ขาของแท่นตั้ง แช่อยู่ในถ้วยหรือภาชนะที่หล่อน้ำมันเครื่องเก่าหรือน้ำผสมน้ำยาล้างจานไว้ เพื่อสร้างคูน้ำกันมด นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ใกล้แหล่งน้ำ: ผึ้งต้องการน้ำเพื่อใช้ดื่มและลดอุณหภูมิในรัง ควรมีแหล่งน้ำสะอาดอยู่ไม่ไกล เช่น อ่างบัว, จานรองกระถางที่ใส่ก้อนหินไว้ให้ผึ้งเกาะ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ
3. การปรับปรุงรังและการจัดการ (Hive Modifications & Management)
เพิ่มการระบายอากาศ: ความชื้นในไทยสูงมาก เพื่อป้องกันเชื้อราและความอับชื้น คุณอาจต้องดัดแปลงรังเล็กน้อย เช่น เจาะรูระบายอากาศเพิ่มที่ผนังด้านหน้าและหลังของรัง (บริเวณเหนือระดับคอนผึ้ง) แล้วติดทับด้วยตะแกรงลวดตาข่ายถี่ๆ เพื่อกันศัตรูเข้า สำหรับผู้มีทักษะงานช่าง อาจทำ "พื้นรังแบบตะแกรง" (Screened Bottom Board) เพื่อให้ระบายอากาศจากด้านล่างได้ดีเยี่ยม
การจัดการศัตรูพืช: นอกจากมดแล้ว ยังต้องระวัง ตัวต่อ, แตน, และผีเสื้อกลางคืน (Wax Moth) การรักษาให้ประชากรผึ้งแข็งแรงอยู่เสมอคือการป้องกันที่ดีที่สุด และอาจต้องใช้แผ่นกั้นลดขนาดทางเข้า (Entrance Reducer) เพื่อช่วยให้ผึ้งทหารป้องกันรังได้ง่ายขึ้น การจัดการตามฤดูกาล: ช่วงฤดูดอกไม้บาน (Honey Flow): ตรวจสอบรังบ่อยขึ้น (อาจจะทุก 7-10 วัน) เพื่อดูว่าผึ้งเก็บน้ำผึ้งเต็มรวงหรือยัง และเตรียมเก็บน้ำผึ้ง ช่วงขาดแคลนอาหาร (Dearth Period) / ฤดูฝน: อาจต้องให้อาหารเสริมเป็นน้ำเชื่อม (น้ำตาล 1 ส่วน : น้ำ 1 ส่วน) เพื่อช่วยให้ผึ้งอยู่รอด
การเก็บน้ำผึ้ง: ข้อดีของรังแบบนี้คือคุณสามารถเก็บทีละคอนได้ โดยเลือกเก็บเฉพาะคอนน้ำผึ้งที่อยู่ด้านหลังสุดของรัง ปล่อยคอนที่มีตัวอ่อนและอาหารสำรองไว้ที่ด้านหน้า วิธีการคือยกคานบนขึ้นมา ใช้มีดคมๆ ตัดแผ่นรวงผึ้งออกมา โดยเหลือขอบรวงติดกับคานบนไว้ประมาณ 1-2 ซม. เพื่อเป็นแนวให้ผึ้งสร้างรวงใหม่ได้ตรงแนวเดิม